เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ พ.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ ถ้าวันพระนะ เวลาพระปฏิบัติ วันพระ วันโกนเขาถือเนสัชชิก เขาจะประพฤติปฏิบัติกันเข้มข้น เพราะโดยปกติเขาก็ประพฤติปฏิบัติของเขาอยู่แล้ว การประพฤติปฏิบัติ คนที่มีสัจจะมีความจริงในหัวใจเขาต้องการธรรมโอสถ เขาต้องการสัจธรรมความจริงในใจอันนั้น

ถ้าต้องการความจริงในใจอันนั้น เวลาพระบวชมา พระบวชมาปรารถนาจะสิ้นจากทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เวลาพระบวชมาต้องการพ้นจากทุกข์ๆ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น คนบวชใหม่ๆ นะ ๗ วันแรก ๑๐ วันแรก อู้ฮู! มีบุญมาก มันอิ่มบุญน่ะ

เวลาคนออกจากโบสถ์ๆ เราจะใส่บาตรกับพระเพิ่งบวช พระที่สะอาดบริสุทธิ์ไง เวลาออกมาแล้วทั้งโกหกทั้งมดเท็จ ทั้งตั้งสัจจะแล้วก็ไม่ทำ วันพระ วันโกนว่าจะทำแล้วก็ไม่ทำ มันเริ่มโกหกมาเรื่อยๆ ไง มันสะสมมาเรื่อยๆ ไง ศีลมันถึงไม่บริสุทธิ์ เห็นไหม

เวลาคนที่ออกจากโบสถ์ๆ เขาอยากจะใส่บาตร นี่สะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์ในการบวช ไม่ใช่สะอาดบริสุทธิ์โดยกิเลส กิเลสท่วมหัว เวลาบวชมาบวชเป็นประเพณีวัฒนธรรม บวชมาก็บวชเป็นตามธรรมวินัย มันยังไม่ได้บวชหัวใจของมันไง

ถ้ามันจะบวชหัวใจของมันต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ามีศีล ศีลคือความปกติของใจ ศีลคือมันไม่กะล่อน ไม่ปลิ้นปล้อน ไม่หลอกลวง ถ้าศีล ผู้ใดที่โกหกมดเท็จแล้วทำความชั่วอย่างอื่นอีกไม่มีอีกเลย ทำได้ทั้งสิ้น มันทำสมาธิไม่เป็นมันก็ว่าเป็นสมาธิ มันไม่เคยเกิดปัญญามันก็ว่าเป็นปัญญา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็ต้องการปากเปียกปากแฉะว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา

มันก็เหมือนกับ ดูสิ นกแก้วนกขุนทองมันก็พูดได้ แต่มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าคนที่เป็นความจริงขึ้นมา พอจิตมันปกติ จิตมันสงบเข้ามามันก็แตกต่างกับจิตที่ฟุ้งซ่าน เวลามันมีสมาธิขึ้นมามันก็มีความสุขความสงบความระงับที่มหาศาล ถ้ามันเกิดปัญญา ปัญญาที่รื้อถอนขึ้นมานี่ไม่พูดเลย เงียบกริบ เพราะอะไร เพราะความจริงๆ มันมหัศจรรย์ ความจริงไม่เหมือนที่เขาโม้กันนั่นหรอก ไอ้ที่เขาพูดๆ กัน เขาพูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาทรงจำธรรมวินัย ทรงจำไว้ทำไม ทรงจำไว้ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเกิดความจริงขึ้นมา เวลาเกิดความจริงขึ้นมานะ แม้แต่การเหยียดการคู้การเคลื่อนไหวเขาก็รู้ คนที่ประพฤติปฏิบัตินะ เขาจะมีสติสัมปชัญญะของเขา เขาจะรักษาของเขา

ดูสิ เวลาเราจะหกล้ม เวลาเราลื่นปื้ดไปเลย แล้วจิตถ้ามันลื่น จิตที่ไม่มีสติปัญญา จิตมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เขาถึงไม่ปล่อยให้จิตเขาเป็นอย่างนั้น

เวลาเราลื่นหกล้ม ลื่นไหลพรืด ล้มไปแล้ว นี่เพราะความลื่นไม่ขาดสติ แต่ถ้าคนเวลาจิตมันจะภาวนานะ เขามีสติสมบูรณ์ของเขา เวลามันจะลื่น ลื่นไปในอารมณ์นั้น เวลามันจะฟุ้งซ่านไปในอารมณ์นั้น เวลามันหกล้มลุกคลุกคลานขึ้นมามันได้มาแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันมีสติของมัน รักษาของมัน รักษาของมัน นี่ที่มีการกระทำ

นี่วันพระ ถ้าวันพระ วันโกนขึ้นมา โดยปกติชาวพุทธเราโดยโบราณเขาจะไปวัดไปวา แต่สมัยปัจจุบันนี้วันเสาร์วันอาทิตย์ ถ้าวันเสาร์วันอาทิตย์เพื่อระบบเศรษฐกิจโลก นี่เศรษฐกิจไง อย่าพูดถึงการมักน้อยสันโดษนะ เดี๋ยวชาติจะไม่เจริญ ชาติเจริญมันต้องมีการแข่งขัน ชาติเจริญมันต้องมีระบบเศรษฐกิจที่ดี

ระบบเศรษฐกิจที่ดี ปลาใหญ่กินปลาเล็ก การต่อรองเราสู้เขาไม่ได้ทั้งสิ้นน่ะ แล้วยิ่งผู้นำที่ฉลาดหรือผู้นำที่โง่ ผู้นำที่ฉลาดนะ เขารู้เท่าทันการบีบคั้นของกำปั้นใหญ่ แต่ถ้าผู้นำที่โง่ไปสอพลอเขา ประจบสอพลอเขา ไม่ได้เรื่อง นี่พูดถึงทางโลกไง

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงเราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ชาติตะวันตกกับชาติทางตะวันออกก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่มนุษย์ชาติตะวันออกของเรา เราเป็นมนุษย์ที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจของเรา

ทางตะวันตกของเขา ถ้าเขาถือความเชื่อของเขามันก็เรื่องของเขา นี่เป็นบาปเป็นกรรมของคนไง หลวงตาท่านพูดไง คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่เชื่อเทพเจ้าบันดาล ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อแต่ความเพียรของเรา เชื่อแต่สติปัญญาของเรา เชื่อแต่ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ถ้าเรานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง คนเราเกิดมาจะเผชิญกับความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ

ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้

ใครทนอะไรอยู่ได้บ้าง เราทนสิ่งใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้นเลย สิ่งที่เรากำลังศึกษาๆ กันมา ศึกษามาเพื่อมีสมาธิมีปัญญา ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้

ทุกข์ควรกำหนด เรากำหนดสิ่งที่เราทนอยู่ไม่ได้ เรากำหนดถึงชีวิตของเรา

ชีวิตเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันเป็นความทุกข์ความยาก แต่ความทุกข์ความยากมันต้องมีที่มาที่ไปของมัน

สมุทัยควรละ สมุทัยควรละ ตัณหาความทะยานอยากไง เวลาทุกข์ก็อยากจะพ้นจากทุกข์ พยายามผลักไสทุกข์ออกไป ทุกข์มันยิ่งเพิ่มขึ้น ๒ ชั้น ๓ ชั้น เวลามีกิเลสมาหลอกอยากปรารถนา อยากจะยิ่งใหญ่ อยากต่างๆ มันก็มีแต่ความทุกข์ความยากของมัน

นี่อุเบกขา อุเบกขา สักแต่ว่า สักแต่ว่ามันก็นอนจมแต่ความกลัดหนองในใจของตนไง

ถ้ามันนิโรธ มันมีมรรค มันมีมรรคก็มีสติปัญญาของเราขึ้นมา ชาวพุทธๆ ชาวพุทธที่เรามีการกระทำ ถ้าชาวพุทธเป็นเนื้อหาสาระ ชาวพุทธเป็นกิจจะลักษณะ ไม่แข่งขันกับอะไรทั้งสิ้น

ไอ้นี่ชาวพุทธจะแข่งขันกับเขา อยากยิ่งใหญ่ อยากให้เขานับถือ อยากให้เขายอมรับ บ้าบอคอแตก นี่ไง มันเพราะอย่างนั้นนะ เวลาอยากยิ่งใหญ่ ทางจงกรมก็เปิดไว้โล่งๆ เลยนะ ต้องเดินจงกรมให้คนเห็น เขาจะได้นับถือศรัทธาเรา นี่ไง จะทำอะไรต้องทำอวดเขาไง อยากจะยิ่งใหญ่ พอคำว่า อยากจะยิ่งใหญ่” พอจิตมันคิดปั๊บนะ พฤติกรรมมันไปแล้ว เพราะทุกอย่างมันเกิดจากความรู้สึก จากความคิดทั้งสิ้น

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนไม้ไม่มีใครดูแลเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านมีการกระทำของท่าน คนที่กระทำจริงทำจังของท่าน ท่านจะหาที่สงบระงับ หาที่หลีกเร้น แล้วทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา

เวลาเป็นจริงขึ้นมานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สิ่งที่มีค่าที่สุด มีค่าที่สุดในหัวใจของเรานี้ หัวใจของเราที่มันสุขมันสงบมันระงับนี้ ถ้ามันระงับ นี่ธรรมโอสถๆ ไง คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ไปหายารักษา หาหมอรักษาเขา

เวลาเราเกิดมา ถ้าคนมีสติมีปัญญามันจะยอมรับ ยอมรับว่าเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าคนเกิดมานะ กิเลสมันยิ่งใหญ่นะ โอ้โฮ! มันยิ่งใหญ่ มันเกิดมานี่ โอ้โฮ! คาบช้อนเงินช้อนทอง โอ้โฮ! มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง...นั่นน่ะมันตายเปล่า มันไม่ได้สิ่งใดเลย นี่ไง เพราะมันติดแต่ความสุขอย่างนั้น

แต่เวลาดูสิ ในสมัยพุทธกาล กษัตริย์เขาละราชบัลลังก์เขามาบวช เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วเวลามันสิ้นกิเลสไป “ที่นี่สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ” สุขหนอโดยจิตมันสงบระงับ จิตที่มันมีคุณภาพ จิตที่มีความดีงาม

ดีงาม นี่วันพระ พอวันพระๆ ของเรา เรามาวัดมาวานะ เวลาถ้ากิเลสมันท่วมหัวนะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาด้วยตรอมใจ อู้ฮู! เจ็บช้ำ คนอื่นเขามีความสุข คนอื่นเขามีความสุข

เราคาดหมายกันไปไง นี่ไง อบายมุขก็เป็นอบายภูมิ มีการละเล่นฟ้อนรำต่างๆ นี่อบายมุขทั้งนั้น สิ่งที่เราอยู่กับอบายมุขแล้วมันจะเป็นความดีขึ้นมาได้อย่างไร อบายมุขน่ะ

แล้วเวลาที่เขาไปเล่นฟ้อนรำ เล่นการพนันขันต่อ อบายมุขทั้งนั้นน่ะ แล้วเขาก็ยังรื่นเริงกันน่ะ แล้วเราก็มาน้อยใจ อู้ฮู! เขามีแต่ความสุขกันน่ะ เรานี่เจ็บช้ำ เดินจงกรมอยู่คนเดียว อู้ฮู! นั่งสมาธิไม่มีใครดูแล มีแต่ความเจ็บปวดในหัวใจ นี่ไง ถ้ากิเลสมันยิ่งใหญ่ในหัวใจ มันทับมันถม

แต่โดยธรรมชาตินะ เวลาเราขีดเส้นเด็กให้สงบระงับมันก็โดยความไร้เดียงสาของมัน แต่กิเลสไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ พอเราไปขีดเส้นมัน มันต่อต้าน มันต่อต้านนะ ดูสิ เวลาเด็ก เวลาถ้ามันไม่ไปโรงเรียน เวลาจะไปโรงเรียนมันบอกมันป่วยมันเจ็บ อู้ฮู! พ่อแม่มันพาไปโรงพยาบาลนะ แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันไม่อยากไปโรงเรียน

ไอ้นี่กิเลสเหมือนกัน เวลาขีดเส้นเวลาจะภาวนาน่ะ อู๋ย! มันเจ็บปวดไปหมด แหม! คนเราเกิดมาไม่มีวาสนา คนเกิดมาต่ำต้อย คนเราเกิดมามันไม่เทียบเคียงสังคมเขา

ไม่รู้หรอกว่านั่นผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่เพราะอะไร เพราะบารมีสิบทัศ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี บารมีของเราที่เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา คนที่ไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่มีอำนาจวาสนาทำได้อย่างไร

การประพฤติปฏิบัตินะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ หุ่นยนต์ตั้งโปรแกรมไว้ให้มันเดินไปเดินมา เดินจงกรม มันเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะมันไม่มีหัวใจ

ไอ้เรานี่ด้วยความสมัครใจของเรา ด้วยความพอใจของเรา ด้วยความปรารถนาศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยความปรารถนามรรคผลอันนั้น ด้วยความปรารถนามรรคผลอันนั้นมันต้องแลกมาด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ด้วยความควบคุมดูแลหัวใจของเรา พลิกแพลงหัวใจของเราที่อยู่ในอำนาจของกิเลสให้มาอยู่ในอำนาจของธรรม ให้มีศีล ให้มีสมาธิ ให้มีปัญญา เราภูมิใจ เราพอใจ เราจะการปฏิบัติ

แล้วพอการปฏิบัติทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ ปีนี่ทุกข์ไหม ตกนรกทั้งเป็น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทุกข์ไหม ท่านทุกข์ของท่าน ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะกิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันครอบงำ กิเลสมันยังพลิกแพลง เหมือนนักเรียนจะไปโรงเรียนมันต่อต้านว่ามันเจ็บมันป่วยของมัน แต่เวลามันพลิกแพลงของมัน มันกระทำของมัน

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันต่อต้านๆ เพราะคำว่า กิเลสมันต่อต้าน” มันทำลายนั่นน่ะ ไอ้กิเลสต่อต้านทำลายมันแสดงออก แล้วถ้ามีสติปัญญา เราต่อสู้กับมัน การต่อสู้กับมัน การพลิกแพลง การกระทำอันนั้นมันด้วยเชาวน์ด้วยปัญญา

ใครมีเชาวน์ปัญญามากน้อยแค่ไหน มีอุบายวิธีการแค่ไหนที่จะพลิกแพลงกับมัน ถ้าเรามีเชาวน์มีปัญญามีอุบายวิธีการ นั่นน่ะความเพียรชอบๆ ถ้าความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะอันนี้สำคัญมาก พอสำคัญมากมันถึงเป็นความจริงขึ้นมาไง

นี่พูดถึงนักปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าปฏิบัติขึ้นมาแล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วมีแต่ความรื่นเริง ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจเลย แล้วจะทำสิ่งใด ทำสิ่งใดด้วยความภาคภูมิใจ เพราะทำด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยการกระทำนะ

แล้วถ้ามันสงบมาบ้าง คำว่า สงบมาบ้าง” มันเป็นครั้งเป็นคราว จิตของเรามันสงบระงับแล้ว ที่มันไม่เสื่อมไป ไม่คลายไป เป็นไปไม่ได้หรอก สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง อารมณ์เราพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตลอด ความรู้สึกนึกคิดเราให้มันคงที่ได้ไหม ไม่มีทาง คิดดีขนาดไหน ถูกรางวัลที่หนึ่ง อู้ฮู! ปลื้มใจมาก พอเขามาไถตังค์ จบเลย อู้ฮู! ไม่ถูกก็ดี ถูกก็มีแต่โดนไถ นั่นไปแล้ว มันไม่มีอะไรคงที่หรอก มันแปรสภาพทั้งสิ้น

นี่ก็เหมือนกัน ในการกระทำ ถ้ามันสงบลงบ้าง มันดีงามบ้าง จำอันนั้นไว้ แล้วพยายามทำอย่างนั้น เห็นไหม ทำความสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้าจนเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตมีกำลัง พอจิตมีกำลังแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา เวลาปัญญาเราเกิดขึ้น นี่เอกบุรุษ เราเป็นผู้ที่กระทำ เราจะสร้างขึ้นมา เห็นไหม

เวลาบวชออกมาจากโบสถ์ แหม! พระที่สะอาดบริสุทธิ์ เขาอยากทำบุญๆ กันน่ะ เพราะมันสะอาดบริสุทธิ์ มันไว้ใจได้ ถ้าไปอยู่ในวัดแล้วเดี๋ยวมันจะพลิกแพลงไป ไว้ใจได้หรือเปล่า

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันกะล่อนปลิ้นปล้อนอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ ถ้ามันสงบระงับขึ้นมามันไว้ใจได้ แล้วเวลามีสติปัญญาพลิกแพลงของมัน ใช้ปัญญาของมันไป นี่มันยิ่งไว้ใจได้เข้าไปใหญ่ เพราะอะไร เพราะภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการภาวนาเป็นสมบัติของเรา เราเป็นคนเห็น เราเป็นคนกระทำ

เวลาเราเห็นสิ่งใด ความเห็นนั้นเห็นจริงไหม จริง ความเห็นนั้นจริงๆ แต่มันเป็นจริงไหม ไม่จริง ไม่จริงเพราะมันกะล่อน มันตอแหล

แต่ถ้ามันพิจารณาบ่อยครั้งเข้า เพราะเราโดนหลอก โดนกะล่อน โดนปลิ้นปล้อน นี่ปัญญาของกิเลส ปัญญาของสมุทัยมันหลอกมันลวงมาตลอด มันหลอกมันลวงจนเราหัวปักหัวปำ แล้วเราพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เห็นความจริงกับความหลอกแตกต่างกันอย่างไร ถ้าความหลอก หลอกแล้วมันไม่มีเหตุมีผล

เวลาเป็นความจริงๆ มันมีเหตุมีผล มันเป็นมรรคเป็นผล มันเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ปัญญาที่แยกที่แยะ ที่ถอดที่ถอน ที่สำรอกที่มันคาย โอ๋ย! มันเป็นความจริงๆ มันต้องเป็นความจริง ความจริงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก กิเลสมันปลิ้นปล้อนไม่ได้ มันหลอกลวงไม่ได้ มันพลิกแพลงไม่ได้ มันต่อต้านไม่ได้ มันไม่มีสิ่งใดจะต่อต้านได้

แต่ถ้ามันพลิกแพลง มันไปในทางเดียวกัน เออ! นี่มันมีสมุทัยจรมา มันมีสมุทัย มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากบวกมา มันลากไปหมดแหละ นี่เวลามันไม่มีเหตุมีผลไง ว่างหมดเลย ว่างอย่างไร...ไม่รู้ ว่าง ก็ว่างน่ะ มันไม่รู้

แต่ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญามันมีเหตุมีผลของมันตลอด นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ คนที่ภาวนา ภาวนาอย่างนี้ มันต้องมีที่มาที่ไปของมัน นี่พูดถึงคนที่มีอำนาจวาสนา ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา

วันพระ วันพระวันผู้ประเสริฐ เราพยายามดูแลรักษาหัวใจของเราให้เป็นผู้ประเสริฐ พระพุทธศาสนาไม่เชื่อใครทั้งสิ้น แม้แต่อาจารย์ของตน กาลามสูตร อย่าให้เชื่อ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้มันเป็นจริงขึ้นมา

แล้วครูบาอาจารย์ที่พูดน่ะจริงหรือเปล่า เราจะตรวจเช็กอาจารย์เราได้เองเลย ถ้าเราเป็นสมาธิ เขาไม่เป็น เขารู้ไม่ได้ ถ้าเราเป็นปัญญา เขาไม่เป็น เขารู้ไม่ได้ ถ้าเราสมุจเฉทปหาน เขาไม่เคยสมุจเฉทปหาน เขารู้ไม่ได้ แล้วถ้าเขารู้ไม่ได้แสดงว่าเขาไม่เคยเห็น เขาไม่เคยเป็น เราพิจารณาของเรา เรากระทำของเรา

วันพระ เราจะบอกว่า วันพระ วันโกนแล้วอย่าปล่อยให้วันเวลาล่วงไป วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้ทำอะไรอยู่ นี่ก็อายุ ๖๐-๗๐ แล้วนะ หลวงปู่ลี ๙๖ ไง ตายแล้ว ๘๐-๙๐ นี่สูงสุด แล้วเราล่ะ นับไปเลย ๑ ๒ ๓ ๔ วันเวลามันผ่านไป วันเวลามันผ่านไปแน่นอน แล้วตายไปแล้วจะเกิดมาพบพระพุทธศาสนาอีกไหม จะเกิดมาพบพระสงบหรือไม่ เพราะพระสงบตายไปก่อน

เกิดมาจะไม่เจอใครอีกนะ เกิดมาแล้วจะเคว้งคว้างเลย เฮ้ย! ใครวะเนี่ย ไม่เคยรู้จักใครเลยนะ นี่ไง วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้ทำอะไรอยู่ จริงจังของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง